Posted on Leave a comment

Lettuce February 2020

ภาพชุดนี้ เป็นผักสลัดที่ปลูกช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งโดยตำแหน่งที่วางกล่องปลูกผักนั้นจะไม่ค่อยได้โดนแสงแดดโดยตรง ซึ่งทำให้ผักค่อนข้างยืดหน่อย ๆ ทำให้ดูไม่ค่อยสวยงามเท่าไร และโตช้ากว่าด้วย แต่ก็ยังอร่อยอยู่เหมือนเดิม สำหรับท่านใดที่มีพื้นที่ที่แดดส่องถึงก็ควรนำไปวางบริเวณนั้นจะได้ผักที่มีรูปร่างสวยงามกว่านะครับ

Posted on Leave a comment

Lettuce December 2019

ผักสลัดรวมปลูกช่วงเดือนธันวาคม วางไว้ริมหน้าต่างห้องทำงาน โดนแสงแดดโดยตรงประมาณวันละ 6 ชั่วโมง ใช้เวลาปลูกประมาณ 30 วันก็ได้ผักต้นใหญ่น่ารับประทานแล้ว

Posted on Leave a comment

อันตรายที่แท้จริงในผักไฮโดรโปนิกส์คืออะไร ?

Food photo created by DCStudio – www.freepik.com

เมื่อพูดถึงอันตรายจากผักไฮโดรโปนิกส์ หลายท่านก็คงจะนึกถึงอันตรายจากสารเคมี โดยผู้เขียนจะขอแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม โดยกลุ่มแรกคือสารเคมีที่เป็นสารอาหารของพืช กลุ่มที่สองคือสารเคมีกำจัดศัตรูพืช และกลุ่มที่สามคือสารเคมีที่ไม่เกี่ยวกับการปลูกพืชเลย ในบทความก่อนหน้านี้ ผู้เขียนได้พูดถึงสารเคมีกลุ่มแรกที่เป็นสารอาหารของพืชไปแล้วว่า ทั้งพืชที่ปลูกด้วยดิน และไม่ใช้ดิน(ไฮโดรโปนิกส์)จะได้รับสารอาหารในรูปของสารเคมีที่เป็นสารอาหารในรูปแบบเดียวกัน และได้นำเสนอข้อชี้แจงจากกรมการแพทย์แล้วว่า ปัจจุบันยังไม่มีข้อบ่งชี้อย่างชัดเจนว่าการสะสมของสารอาหาร เช่น ไนเตรต นั้นเพิ่มโอกาสการเป็นมะเร็งได้ ซึ่งทำให้สบายใจไปได้กลุ่มหนึ่ง แต่อีกสองกลุ่มที่เหลือนั้นเป็นอันตรายแน่ ๆ และในบทความนี้จะพูดถึงสารเคมีทั้งสองกลุ่มนี้ว่าเกี่ยวกับผักไฮโดรโปนิกส์อย่างไร และจะหลีกเลี่ยงอันตรายได้อย่างไร

Infographic vector created by macrovector – www.freepik.com

เริ่มด้วยกลุ่มสารเคมีกำจัดศัตรูพืช  แม้ว่าพืชที่ปลูกแบบไม่ใช้ดินจะไม่ต้องใช้สารกำจัดวัชพืช เพราะโอกาสที่จะมีวัชพืชเข้ามาในระบบนั้นมีน้อย และถึงมีก็หยิบออกง่ายกว่าการใช้ยามาก แต่ก็ยังอาจต้องใช้สารกำจัดแมลง(ยาฆ่าแมลง) เพราะในบางโรงเรือน โดยเฉพาะที่เป็นโรงเรือนแบบเปิด ก็มักจะมีแมลงรบกวนไม่ต่างจากการปลูกด้วยดิน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ว่าเกษตรกรต้องใช้ยากำจัดหรือไล่แมลง ซึ่งอาจจะส่งผลให้เกิดสารตกค้างได้ และถ้าระยะเวลาเก็บเกี่ยวไม่ได้ตามมาตรฐาน ซึ่งหลาย ๆ ครั้งก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เกษตรกรต้องเก็บเกี่ยวก่อนเวลา ทั้งที่ตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจก็ตาม นั่นเป็นสาเหตุให้อาจมีสารกำจัดแมลงตกค้างที่ต้นหรือใบพืชได้ นอกจากนี้ ถ้าระบบไม่ดีพอ อาจจะเกิดการปนเปื้อนของยาฆ่าแมลงนี้ลงไปในสารละลายที่ใช้ปลูกพืชได้ และพืชอาจจะดูดซึมสารอันตรายเหล่านั้นเข้าไป ซึ่งทำให้การล้างผักไม่ได้ผล แต่ไม่อยากให้กลัวพืชไฮโดรโปนิกส์มากกว่าพืชที่ปลูกด้วยดินนะครับ เพราะพืชที่ปลูกด้วยดินก็มีโอกาสพบปัญหาในลักษณะเดียวกัน เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงสารตกค้างเหล่านี้ เราอาจจะต้องซื้อผักจากแหล่งที่ไว้ใจได้ หรือได้มาตรฐานจากหน่วยงานที่ไว้ใจได้ และนำมาล้างให้ดีก่อนนำมารับประทานไม่ต่างจากที่ปลูกด้วยดิน หรือดีกว่าคือปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ไว้รับประทานเอง

Ecological disasters flat images set with air water pollution hazardous waste related health problems isolated vector illustration

Car vector created by macrovector – www.freepik.com

สำหรับสารเคมีกลุ่มที่สาม คือสารเคมีที่ไม่เกี่ยวกับการปลูกพืชเลยแต่เป็นอันตราย และมีโอกาสปนเปื้อนในวัสดุปลูก น้ำ หรือสารละลาย แล้วพืชก็ดูดซับมาสะสมไว้ในต้นพืชก่อนมาถึงมือเรา ซึ่งแหล่งที่มาของสารอันตรายประเภทนี้มักจะมาจากของเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม หรือแหล่งทิ้งขยะที่มีการจัดการไม่ดีพอ ทำให้เกิดการปนเปื้อนในดิน หรือแหล่งน้ำ โชคดีที่การปลูกพืชแบบไม่ใช้ดิน(ไฮโดรโปนิกส์) ไม่ต้องใช้ดินจึงลดโอกาสได้รับสารพิษปนเปื้อนจากดิน แต่ก็ยังต้องระวังการปนเปื้อนในวัสดุปลูก สารอาหาร และน้ำที่นำมาใช้ การหลีกเลี่ยงก็เป็นลักษณะเดียวกันกับก่อนหน้านี้คือ ซื้อจากแหล่งที่ไว้ใจได้ ได้มาตรฐาน และล้างให้สะอาด แม้การล้างอาจจะไม่ช่วยมากนักเพราะการปนเปื้อนลักษณะนี้มักเป็นการสะสมภายในต้นพืชซึ่งไม่สามารถล้างออกได้ หรือสุดท้ายคือปลูกเอง โดยใช้วัสดุปลูก สารอาหาร และแหล่งน้ำจากแหล่งที่ไว้ใจได้

ผักสลัดริมระเบียง

สรุปว่าอันตรายจากผักไฮโดรโปนิกส์ แท้จริงแล้วไม่ได้มาจากสารเคมีที่เป็นอาหารที่ใช้ปลูกผักอย่างที่หลายคนเป็นกังวล แต่มาจากสารเคมีที่เป็นยากำจัดแมลง และสารเคมีที่เป็นอันตรายจากของเสียจากโรงงานอุตสาหกรรมที่มีการกำจัดของเสียไม่ได้มาตรฐาน หรือแหล่งทิ้งขยะ แต่ก็ไม่ควรเป็นกังวลมากเกินไป เราหลีกเลี่ยงการปนเปื้อนของสารเหล่านี้ได้จากการซื้อผักจากแหล่งที่ไว้ใจได้ หรือได้มาตรฐานต่าง ๆ ที่เราไว้ใจ แล้วล้างให้ดีเสมือนว่ามีสารพิษตกค้างอยู่ที่ผักไม่ว่าผักจะมาจากแหล่งใดก็ตาม หรือปลูกทานเองซะเลยน่าจะปลอดภัยที่สุดใช่ไหมล่ะครับ สำหรับเรื่องนี้ขอจบเพียงเท่านี้ สวัสดีครับ

Posted on Leave a comment

ผักไฮโดรโปนิกส์ มีไนเตรตสะสมจนเป็นอันตรายจริงหรือไม่ ?

เมื่อพูดถึงผักไฮโดรโปนิกส์ หลายคนจะนึกถึงการสะสมของไนเตรต ซึ่งเชื่อว่าอาจก่อให้เกิดมะเร็ง หรือเพิ่มโอกาสการเกิดมะเร็งขึ้นมาได้ ก่อนอื่นต้องเท้าความก่อนว่า ในบทความก่อนหน้านี้เราได้เคยเสนอข้อมูลเกี่ยวกับไนเตรตไปบ้างแล้ว ก็คือ พืชจะดูดซับไนโตรเจนในรูปของไนเตรต ซึ่งทั้งพืชที่ปลูกแบบใช้ดิน หรือไม่ใช้ดิน(ไฮโดรโปนิกส์) ก็ได้รับไนโตรเจนในรูปของไนเตรตเหมือนกัน แต่สิ่งที่ต่างกันคือความเข้มข้นของไนเตรตที่พืชได้รับ เนื่องจากการปลูกพืชโดยใช้ดิน ส่วนใหญ่แล้วพืชจะได้รับไนเตรตจากการที่จุลินทรีย์บางชนิดที่อยู่ในดินค่อย ๆ สร้างไนเตรตให้กับดิน แล้วพืชก็ค่อย ๆ ดูดซึม แต่ในสารละลายสำหรับปลูกแบบไฮโดรโปนิกส์นั้น จะมีไนเตรตเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นจึงมีโอกาสที่พืชจะดูดซึมได้รวดเร็ว ทำให้หลายคนเป็นกังวลว่า พืชจะได้รับไนเตรตมากเกินไปหรือไม่ และจะสะสมในพืชมากเกินไปจนเป็นอันตรายต่อผู้บริโภคหรือไม่

ในเรื่องนี้ กรมการแพทย์ โดยสถาบันมะเร็งแห่งชาติ (ข้อมูลจาก เว็บไซต์ของสำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์ ตามลิงค์ที่ให้ไว้ด้านล่าง) ได้แจ้งว่า ปัจจุบันยังไม่มีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ หรืองานวิจัยที่ยืนยันแน่ชัดว่า การบริโภคผักไฮโดรโปรนิกส์ทำให้เป็นโรคมะเร็ง และการตกค้างของไนเตรตก็มีทั้งในผักที่ปลูกด้วยดิน และปลูกแบบไม่ใช้ดิน(ไฮโดรโปนิกส์) ส่วนความเข้มข้นในการสะสมนั้น นอกจากจะขึ้นกับปริมาณของไนเตรตที่พืชได้รับแล้ว ยังขึ้นกับ ชนิดของพืช สภาพแวดล้อมและฤดูกาลในการปลูกพืช ซึ่งพื้นที่เขตร้อนนั้น แสงแดดจะทำให้สารไนเตรตสลายตัวได้รวดเร็ว นอกจากนี้ ทางสถาบันยังได้แนะนำวิธีช่วยลดไนเตรตสำหรับผู้ที่ยังเป็นกังวลอีกด้วยว่า การลดไนเตรตในผักก่อนนำมารับประทานทำได้ด้วยการนำผักไปต้มในน้ำเดือด หรือนึ่งนาน 10 นาที หรือการแช่ผักในน้ำเปล่า น้ำเกลือและด่างทับทิม ก็มีแนวโน้มที่จะช่วยให้ค่าไนเตรตลดลงได้เช่นกัน

สรุปว่าการสะสมของไนเตรตในพืชผักนั้น มีได้ทั้งแบบที่ปลูกแบบใช้ดิน และไม่ใช้ดิน(ไฮโดรโปนิกส์) แต่ยังไม่มีข้อมูลยืนยันว่าไนเตรตที่สะสมในผักนั้นมีส่วนทำให้เกิดมะเร็งได้ นอกจากนี้สำหรับท่านที่ยังเป็นกังวลก็ขอแนะนำให้นำผักไปต้มหรือนึ่งนาน 10 นาที โดยส่วนตัวแล้วผู้เขียนแนะนำให้ปลูกผักไฮโดรโปนิกส์รับประทานเองจะสะดวกกว่า สำหรับผักที่รับประทานสดอย่างเช่นผักสลัด แนะนำให้เปลี่ยนน้ำที่ปลูกให้เป็นน้ำเปล่า 1 – 3 วัน (ขึ้นกับปริมาณแสง) ก่อนที่จะเก็บมาล้างฝุ่นและรับประทาน เพื่อให้เวลาพืชนำไนเตรตที่สะสมไว้ไปใช้ให้เหลือน้อย ๆ ก่อน ส่วนผักที่ต้องผ่านความร้อนอยู่แล้ว ก็เก็บมาล้างแล้วทำอาหารได้เลย เหตุที่แนะนำให้ปลูกเองดีกว่าเพราะถึงแม้ว่าไนเตรตจะยังไม่มีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ว่าเป็นอันตราย แต่ยังมีสารอื่นที่อาจจะตกค้างและเป็นอันตรายแน่ ๆ นั่นก็คือ พวกสารกำจัดศัตรูพืช ซึ่งถ้าปลูกเอง เราจะมั่นใจได้ว่าผักที่เราปลูกปลอดสารกำจัดศัตรูพืช แต่หากจำเป็นต้องฉีดยากำจัดศัตรูพืชเอง เราก็จะรู้แน่ชัดว่าเราต้องเก็บเกี่ยวเมื่อไรถึงจะปลอดภัย สำหรับเรื่องนี้ขอจบไว้เท่านี้ สวัสดีครับ

ที่มา

Posted on Leave a comment

ทำไมจึงควรปลูกผักไฮโดรโปนิกส์รับประทานเองที่บ้าน ?

หลังจากที่ได้นำเสนอข้อมูลและความคิดเห็นเกี่ยวกับอันตรายของผักไฮโดรโปนิกส์กันไปบ้างแล้ว คราวนี้ขอนำเสนอข้อดีของการปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ไว้รับประทานเองที่บ้านกันบ้าง

  1. ปลอดภัย ผักที่ปลูกทานเองย่อมปลอดภัยกว่าผักที่ซื้อมา จากบทความก่อนหน้านี้ที่ได้นำเสนออันตรายจากผักไฮโดรโปนิกส์ไปแล้ว ทุกท่านคงเห็นด้วยว่า อันตรายหลายอย่างนั้นเราสามารถหลีกเลี่ยงได้ด้วยการปลูก และการดูแลเอาใจใส่อย่างถูกต้อง ดังนั้น ถ้าเราปลูกเอง ดูแลเอง ก็ย่อมปลอดภัยกว่าอย่างแน่นอน
  2. ประหยัด หลายท่านน่าจะเคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับการที่อยากได้ผักเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น ผักชีนิดหน่อย หรือต้นหอมเล็กน้อย ก็ต้องอดทานไป หรือ ออกไปซื้อ แต่ว่าต้องซื้อมาเกินกว่าที่ต้องการ และต้องเก็บเข้าตู้เย็นให้ดี เปลืองพื้นที่ในตู้เย็น แล้วพอจะเอามาใช้อีกที ผักก็เสียซะแล้ว ดังนั้น การปลูกผักบางชนิดไว้รับประทานเอง ก็น่าจะช่วยประหยัดเงิน ประหยัดเวลาลงได้
  3. สะดวก การซื้อผักมารับประทาน นอกจากจะต้องซื้อเกินกว่าที่ต้องการอย่างที่กล่าวไปแล้วก่อนหน้านี้ ซึ่งทำให้เปลืองเงินแล้ว ยังต้องเสียเวลาออกไปซื้อ เสียเวลาล้างผักให้สะอาด เสียเวลาเก็บ ซึ่งไม่ค่อยสะดวกเลย เมื่อเทียบกับการปลูกไฮโดรโปนิกส์ไว้รับประทานเอง
  4. งานอดิเรก การปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ เป็นงานที่ต้องใช้ความคิดอยู่บ้าง ซึ่งทำให้มันน่าสนุก ไม่น่าเบื่อ เป็นการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ได้ผักรับประทานด้วย เป็นกิจกรรมที่ช่วยให้จิตใจสงบ ต้นทุนไม่สูง การปลูกผักไฮโดรโปนิกส์บางแบบก็ไม่ได้ใช้พื้นที่มากด้วย
  5. อยากทานผักมากขึ้น สำหรับเด็ก ๆ ที่ไม่ชอบรับประทานผัก การที่เด็ก ๆ ได้ปลูกผักด้วยตัวเอง ก็อาจจะกระตุ้นความอยากรับประทานผักขึ้นมาบ้างก็ได้ ก็ใครจะไม่อยากชื่นชมกับความสำเร็จของตัวเองกันบ้างล่ะ
  6. ฝึกการเรียนรู้และอดทน การปลูกผักเป็นการฝึกการเรียนรู้และอดทนได้เป็นอย่างดี เนื่องจาก เป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับหลาย ๆ คน โดยเฉพาะเด็ก ๆ แต่ก็ไม่ได้ยากเกินกว่าที่เด็ก ๆ จะทำได้ อีกทั้งเมื่อปลูกเสร็จแล้ว เราก็จะต้องรอประมาณ 1 เดือน เพื่อให้ผักเติบโตพอให้เรารับประทานได้ และหลายท่านคงเห็นด้วยว่า การเรียนรู้และการอดทนเป็นนิสัยที่สำคัญและต้องฝึกฝน
  7. สวยงาม ปกติแล้ว เราจะรู้สึกดี หรือผ่อนคลายเมื่อเห็นสีเขียวของต้นไม้ หลายคนเชื่อว่า เป็นเพราะในสมัยก่อน ถ้าเราเห็นสีเขียวมาก ๆ มันมักจะหมายถึง แหล่งอาหารที่อุดมสมบูรณ์ สมองจะผ่อนคลายจากความกลัวการอดอาหาร และสมองจะช่วยให้เรารู้สึกดีเมื่อเห็นสีเขียว เพื่อให้เราอยู่กับแหล่งอาหารนี้ไปนาน ๆ ด้วยเหตุนี้หลายคนก็เอาต้นไม้ปลูกไว้ในบ้าน หรือบริเวณบ้านเพื่อความสดชื่น สวยงาม และผ่อนคลาย แต่จะดีแค่ไหน ถ้าสิ่งที่ปลูกเพื่อความสดชื่นสวยงามนั้นสามารถนำมารับประทานได้ด้วย และการปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ ก็ทำให้เราปลูกผักในบ้าน หรือริมระเบียงได้ไม่ยากเกินไปนัก

หวังว่าทุกท่านจะได้แรงบันดาลใจในการปลูกผักไฮโดรโปนิกส์กันบ้างนะครับ แล้วพบกันใหม่ในบทความต่อไป สวัสดีครับ

Posted on Leave a comment

ผักไฮโดรโปนิกส์ ปลูกด้วยสารเคมีล้วน ๆ จริงหรือไม่ ?

Designed by Freepik

เมื่อหลายปีก่อนหลายคนเชื่อว่า ผักไฮโดรโปนิกส์ปลอดภัย เป็นผักปลอดสารพิษ แต่ต่อมาก็มีการพูดกันว่า ผักไฮโดรโปนิกส์อันตรายเพราะว่าปลูกด้วยสารเคมีล้วน ๆ ซึ่งก็ปลูกด้วยสารเคมีจริง ๆ แต่นั่นเป็นความจริงเพียงบางส่วน เรามาดูว่ามีความจริงอะไรอีกบ้าง

ขอเริ่มด้วยคนไทยส่วนใหญ่ใช้คำว่า “สารเคมี” ในความหมายที่เป็นสารสังเคราะห์ ไม่ใช่สารธรรมชาติ และเป็นอันตรายต่อมนุษย์ ซึ่งนั่นเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องนัก เนื่องจากสารต่าง ๆ ในโลกล้วนเป็นสารเคมีทั้งสิ้น เช่น น้ำ ก็เป็นสารเคมี มีสูตรทางเคมีคือ H2O และไม่ว่าน้ำจะมาจากแหล่งน้ำธรรมชาติแล้วนำมาทำให้บริสุทธิ์ หรือสังเคราะห์ขึ้นในห้องทดลอง ถ้าสุดท้ายแล้วมีสูตรทางเคมีเหมือนกัน ก็เป็นน้ำที่เหมือนกันทุกประการ และเป็นสารตัวเดียวกันด้วย ดังนั้นขอให้เข้าใจก่อนว่า ความเป็นอันตรายของสารนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่า สารนั้นเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติหรือมนุษย์สร้างขึ้นมา แต่มันขึ้นกับชนิดของสาร และปริมาณของสารมากกว่า ว่าเป็นอันตรายหรือไม่ 

ในทำนองเดียวกัน เมื่อเรารู้ว่าสารอาหารที่พืชสามารถดูดซึมจากดินแล้วนำไปใช้ในการเจริญเติบโตนั้น มีสูตรทางเคมีว่าอย่างไร เราก็สามารถเตรียมสารชนิดเดียวกันไว้ในสารละลายให้กับพืชพร้อมที่จะดูดซึมไปใช้ได้เลย เช่น ไนโตรเจน(N) เป็นสารอาหารที่จำเป็นสำหรับพืช และเรารู้ว่า พืชจะดูดซึมไนโตรเจนในรูปแบบของ แอมโมเนี่ยม (Ammonium: NH4+) หรือ ไนเตรต (Nitrate: NO3) เราก็สามารถเตรียมสารชนิดนี้ให้กับพืชได้เลย เช่น อาจจะเตรียมจากสารเคมีที่ชื่อว่า โพแทสเซี่ยมไนเตรต(Potassium Nitrate: KNO3) โดยการใส่สารโพแทสเซี่ยมไนเตรตนี้ลงในน้ำ เมื่อสารนี้ละลายน้ำแล้ว เราก็จะได้ โพแทสเซี่ยม ไอออน(K+) และ ไนเตรต (NO3) ซึ่งทั้งสองตัวก็เป็นสารที่พืชสามารถดูดซึมไปใช้ได้ และถึงแม้ว่าสาร ไนเตรตในดิน กับในสารละลายสำหรับปลูกพืชจะมีที่มาต่างกัน แต่สำหรับพืชแล้ว มันไม่ต่างกันเลย และไม่ใช่แค่ไนโตรเจนเท่านั้น สารอาหารตัวอื่น ๆ ที่พืชต้องการก็เป็นไปในลักษณะเดียวกัน

สรุปว่า การปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ และการปลูกในดิน ผักก็ได้รับสารอาหารในรูปของสารเคมีชนิดเดียวกัน เพียงแต่มีที่มาต่างกัน ดังนั้น จากคำถามที่ว่า พืชไฮโดรโปนิกส์ปลูกด้วยสารเคมีใช่หรือไม่ ก็ต้องตอบว่าใช่ แล้วอันตรายหรือไม่ ในเบื้องต้นก็ต้องตอบว่า มันก็ไม่มากไปกว่าพืชที่ปลูกด้วยดิน แล้วผักไฮโดรโปนิกส์นั้นปลอดภัยไร้กังวลเลยหรือไม่ ก็ต้องตอบว่าไม่ใช่ ยังมีความกังวลในเรื่องของความเข้มข้นของสารอาหาร การสะสมของสารอาหารในพืชผัก และการปนเปื้อนในสารละลาย เราจะนำเสนอข้อมูลในเรื่องเหล่านี้ในโอกาสต่อไป 

Posted on Leave a comment

กระถางประหยัดน้ำคืออะไร

กระถางประหยัดน้ำ คือกระถางที่ช่วยให้เราใช้น้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยที่กระถางชนิดนี้จะไม่มีรูระบายน้ำที่ก้นกระถางเหมือนกระถางทั่วไป ทำให้น้ำไม่ไหลหายไปไหน ซึ่งก็จะช่วยประหยัดน้ำได้นั่นเอง นอกจากนี้การที่ไม่มีน้ำไหลออกมาจากกระถาง ก็จะทำให้ไม่เลอะเทอะอีกด้วย ทำให้เหมาะแก่การปลูกต้นไม้ในบ้าน ในคอนโดฯ ตกแต่งห้อง หรือตกแต่งระเบียงได้เป็นอย่างดี

 ถาม : อ้าว ถ้าไม่มีรูระบายน้ำออก แล้วต้นไม้จะไม่ตายเหรอ ตอนเด็ก ๆ เคยเรียนมาว่า กระถางต้องมีรูระบายน้ำ ถ้าไม่อย่างนั้นต้นไม้จะตายนี่นา 

ตอบ : ก็เป็นไปได้ครับ แต่ที่จริงมันขึ้นอยู่กับระดับน้ำในกระถางมากกว่า ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า ทำไมน้ำมากเกินไปแล้วต้นไม้จะตาย ก็เพราะ รากที่จมน้ำจะไม่สามารถหายใจได้นั่นเองครับ เซลล์พืชก็เหมือนเซลล์ของสัตว์ครับ คือต้องหายใจเพื่อนำเอาออกซิเจนไปใช้ในการเผาผลาญอาหารเพื่อให้ได้พลังงาน แต่พืชไม่มีระบบไหลเวียนออกซิเจน เหมือนระบบเลือดในสัตว์ ดังนั้นเซลล์พืชจะได้รับออกซิเจน จากการสัมผัสกับอากาศ แน่นอนว่า ในดินก็มีอากาศแทรกอยู่ระหว่างเม็ดดิน นั่นทำให้รากพืชได้รับออกซิเจนนั่นเอง และถ้ามีน้ำขัง รากก็จะได้ออกซิเจนไม่เพียงพอ และทำให้รากตาย ส่งผลให้ทั้งต้นตายในที่สุด ซึ่งต้นไม้แต่ละชนิด ก็สามารถทนกับสภาพน้ำท่วมรากได้ต่างกัน เราต้องให้ระดับน้ำให้เหมาะสมกับต้นไม้แต่ละชนิดด้วย

รูประดับน้ำที่รากต้นไม้สามารถหายใจได้
รากต้นไม้ต้องการพื้นที่สำหรับหายใจ

ถาม : ในน้ำก็มีออกซิเจนละลายอยู่นี่นา แล้วทำไมรากถึงหายใจไม่ออก

ตอบ : ในน้ำมีออกซิเจนละลายอยู่ก็จริง แต่ก็ในประมาณที่น้อยเกินไป ไม่เพียงพอต่อการหายใจของรากพืชครับ

ถาม : ถ้าอย่างนั้น เอาถาดรองกระถางก็ได้นี่นา น้ำไม่หายไปไหน ก็จะประหยัดน้ำได้เหมือนกันน่ะสิ

ตอบ : การใช้ถาดรองจะประหยัดน้ำได้มากกว่า การไม่ใช้ถาดรองก็จริงครับ แต่ก็ยังมีข้อด้อยอยู่หลายอย่าง เช่น 

  1. น้ำที่อยู่ในถาดก็มีโอกาสที่ระเหยออกไปได้ ซึ่งเป็นการเสียน้ำไปอยู่ดี
  2. การมีถาดรองทำให้ไม่ค่อยสะดวกในการเคลื่อนย้าย และ ไม่สวยงามอีกด้วย 
  3. นอกจากนี้ ถ้าบังเอิญใส่น้ำเยอะเกินไป น้ำก็อาจจะล้นออกมาเลอะเทอะได้เหมือนกันใช่ไหมล่ะครับ

 ถาม : ถ้าอย่างนั้น เอาภาชนะที่ไม่มีรู หรือกระถางที่มีมาอุดรูไม่ให้น้ำออกก็ใช้ได้แล้วสิ

ตอบ : มันก็ไม่ง่ายขนาดนั้นนะครับ เพราะกระถางทั่วไปนั้นจะทึบแสง ทำให้เราไม่สามารถมองเห็นระดับน้ำได้ เราจึงไม่รู้ว่าตอนนี้ระดับน้ำนั้นมากเกินไป หรือน้อยเกินไปแล้วหรือยัง

ดังนั้นจึงมีการพยายามที่จะออกแบบกระถางที่สามารถบอกให้ทราบถึงระดับน้ำในกระถางออกมาหลายแบบ โดยจะยกตัวอย่างมาคร่าว ๆ ดังนี้

  1. กระถางที่สามารถมองเห็นระดับน้ำได้

กระถางแบบนี้จะถูกออกแบบให้มีบางส่วนของกระถางเป็นลักษณะที่ใส จึงสามารถมองเห็นระดับน้ำได้ ซึ่งเราก็จะได้คอยดูแลให้ระดับน้ำอยู่ในระดับที่เหมาะสมได้ง่าย

รูปกระถางที่สามารถมองเห็นระดับน้ำได้
กระถางที่สามารถมองเห็นระดับน้ำได้

นอกจากนี้ กระถางแบบนี้ยังสามารถออกแบบให้จุน้ำได้มาก ทำให้ไม่ต้องรดน้ำบ่อย เหมาะกับคนที่ขี้เกียจรดน้ำ และ ถูกเรียกว่า self watering pot

ข้อควรระวัง : อาจจะเกิดตะไคร่บริเวณช่องมองระดับน้ำได้

 2. กระถางที่มีอุปกรณ์บอกระดับน้ำในกระถาง

กระถางแบบนี้จะมีอุปกรณ์บอกระดับน้ำมาให้ด้วย ซึ่งก็มักจะอยู่ภายในตัวกระถางเอง ซึ่งจะช่วยให้เราเห็นระดับน้ำและคอยดูแลให้ระดับน้ำอยู่ในระดับที่เหมาะสมได้ โดยทั่วไปแล้วจะทำเป็นลักษณะของลูกลอย

รูปกระถางที่มีตัวบอกระดับน้ำ
กระถางที่มีตัวบอกระดับน้ำ

หวังว่าทุกท่านจะได้ไอเดียและทางเลือกไว้เลือกกระถางปลูกต้นไม้มากขึ้นนะครับ