Posted on Leave a comment

วัดปริมาณ carbon dioxide ด้วย SCD-40 (Low power)

บทความนี้เป็นบทความต่อขยายจากบทความหลักในเรื่องของ “วัดปริมาณ carbon dioxide ด้วย SCD-40” โดยในบทความนี้จะกล่าวถึงการทำงานในโหมด Low power ซึ่งจะช่วยให้เราประหยัดพลังงานได้ โดยในบทความนี้สาธิตว่าทำอย่างไร และที่สำคัญ นอกจากช่วยลดการใช้พลังงงานแล้ว มีผลกระทบอื่น ๆ หรือไม่ แก้อย่างไร มาติดตามกันเลย

Low Power Periodic Measurement

ก่อนอื่นต้องทราบก่อนว่าส่วนที่ใช้พลังงานมากที่สุดของ SCD40 นี้คือการทำงานในส่วนของการวัดปริมาณ carbon dioxide ดังนั้นการลดความถึ่ในการวัดปริมาณ cabon dioxide จึงเป็นวิธีที่ตรงไปตรงมา และได้ผลมากโดยทางผู้ผลิตอ้างว่า สามารถลดพลังงานได้มากกว่า 80% เลยทีเดียว ซึ่งวิธีการก็ง่าย ๆ ไม่ยุ่งยากอะไร คือ ทางผู้ผลิตได้เตรียม function การใช้งานสำหรับเรื่องนี้มาโดยเฉพาะอยู่แล้ว นั่นคือ การใช้คำสั่ง startLowPowerPeriodicMeasurement แทนคำสั่ง startPeriodicMeasurement โดยคำสั่ง startLowPowerPeriodicMeasurement นี้เป็นการสั่งให้ SCD40 ทำการวัดค่า carbon dioxide ประมาณทุก ๆ 30 วินาที (จากเดิมทุก ๆ 5 วินาที) ซึ่งก็จะได้ code ดังนี้ (code ทั้งหมดจะให้ไว้ที่ด้านล่างของบทความนะครับ)

  scd40.begin(Wire);
  scd40.stopPeriodicMeasurement();
  // scd40.startPeriodicMeasurement();          // Performance mode (every 5s)
  scd40.startLowPowerPeriodicMeasurement();     // Low Power mode (every 30s)

แต่เรื่องมันไม่ได้จบแค่นี้ (ถ้าจบแค่นี้ก็ไม่สนุกใช่ไหมล่ะ)

Temperature Offset

เมื่อใช้ Low power mode นั้น ค่าของอุณหภูมิที่อ่านได้ จะคลาดเคลื่อนจากตอนที่อยู่ในโหมดปกตินิดหน่อย คาดว่าเกิดจากการใช้พลังงานลดลง ทำให้อุณหภูมิของตัวเอง (self-heating) ลดลง ทำให้ค่าอุณหภูมิที่วัดได้ต่างจากเดิมนิดหน่อย ดังนั้นเพื่อให้ sensor รายงานค่าอุณหภูมิ และความชื้นสัมพัทธ์ได้ถูกต้อง เราต้องปรับ offset ของการวัดอุณหภูมิของ sensor ด้วย ซึ่งตัว sensor เองก็มี function การทำงานในส่วนนี้รองรับไว้อยู่แล้ว (เจ๋ง ใช่ไหมล่ะ) นั่นคือใช้คำสั่ง setTemperatureOffset โดยที่ค่า offset ที่จะใส่เข้าไป สามารถหาได้ตามสูตร (จาก datasheet) ดังนี้

Toffset_actual = TSCD40TReference + Toffset_previous

Toffset_actual : ค่า offset ที่จะใส่เข้าไป

TSCD40 : ค่าอุณหภูมิที่ SCD40 อ่านได้

TReference : ค่าอุณหภูมิอ้างอิง (ที่เราคิดว่าถูกต้อง)

Toffset_previous : ค่า offset ปัจจุบัน (ก่อนที่จะใส่ offset ใหม่)

นอกจากปัจจัยในเรื่องของ self-heating ของตัว sensor เองแล้ว ยังมีปัจจัยจากสิ่งแวดล้อม เช่นความร้อนของอุปกรณ์ข้างเคียงอีก ดังนั้นเราควรหาค่า offset หลังจากที่ประกอบอุปกรณ์ในลักษณะพร้อมใช้ และติดตั้งในสถานที่จริงเรียบร้อยแล้ว ซึ่งจะเป็นลักษณะของใครของมัน ส่วนของผมนั้น ค่าอุณหภูมิที่อ่านได้ (TSCD40) จะน้อยกว่าค่าที่คิดว่าถูกต้อง (เมื่อเทียบกับ thermometer ที่เราเชื่อใจ ) อยู่ประมาณ 3.5 องศา (TSCD40TReference = -3.5) ส่วนค่า Toffset_previous คือค่า offset ปัจจุบัน เราสามารถหาได้จากคำสั่ง getTemperatureOffset

เมื่อได้ offset ที่ต้องการแล้ว เราก็ใส่ offset เข้าไปด้วยคำสั่ง setTemperatureOffset ซึ่งจะได้ code ดังนี้

  scd40.begin(Wire);
  scd40.stopPeriodicMeasurement();
  // scd40.startPeriodicMeasurement();          // Performance mode (every 5s)
  float tempOffsetPre = 0.0;
  scd40.getTemperatureOffset(tempOffsetPre);
  float tempOffset = -3.5 + tempOffsetPre;
  scd40.setTemperatureOffset(tempOffset);
  scd40.startLowPowerPeriodicMeasurement();     // Low Power mode (every 30s)

เมื่อเราปรับ code เป็นอย่างนี้แล้ว เราก็จะได้ค่าอุณหภูมิ และความชื้นสัมพัทธ์ถูกต้อง(มากขึ้น) ซึ่งการปรับค่าอุณหภูมินี้มีผลแค่การคำนวนค่าความชื้นสัมพัทธ์เท่านั้นนะครับ ไม่มีผลต่อการวัดค่า carbon dioxide ส่วนค่าที่จะมีผลต่อการวัดค่า carbon dioxide คือค่าความดันอากาศ ซึ่งยังไม่ได้กล่าวถึงในบทความนี้ แต่ใครสนใจสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้จาก datasheet

Reload user setting from EEPROM

เอาหละ ถ้าดูผิวเผินก็เหมือนจะจบแค่นี้ แต่… ใช่แล้วครับ ความสนุกยังไม่จบแค่นี้ คนที่มีประสบการณ์ด้านการเขียนโปรแกรมมาเยอะ (ผิดพลาดมาเยอะ) ก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่ามันยังไม่จบง่าย ๆ แบบนี้แน่ นั่นคือ ยังจำเหตุที่เราต้องใส่คำสั่ง stopPeriodicMeasurement ก่อนที่จะสั่ง startPeriodicMeasurement ได้ไหมครับ นั่นคือ เมื่อเรากด reset ที่ microcontroller ตัว SCD40 จะไม่ได้ reset ไปด้วย ดังนั้นถ้าเราปล่อยไว้อย่างนี้ จะทำให้ค่า offset จะถูกลดลงไป 3.5 องศาในทุก ๆ ครั้งที่เรากด reset ซึ่งไม่ดีแน่ แล้วเราจะแก้อย่างไรล่ะ

เราต้องเข้าใจการทำงานของ SCD40 เพิ่มอีกหน่อย นั่นคือ เมื่อเราจ่ายไฟให้กับ SCD40 นั้น ตัว sensor จะทำการ load ค่า setting ต่าง ๆ จาก EEPROM เข้าสู่ RAM เพื่อใช้ในการวัดค่าต่าง ๆ และคำสั่ง setTemperatureOffset ที่เราใช้เปลี่ยนค่า offset นี้ ก็ไปทำการเปลี่ยนค่า offset ที่ RAM เท่านั้น (ที่จริง เราสามารถบันทึกค่า offset ใหม่นี้ใส่ EEPROM ได้ แต่จะยังไม่พูดถึงในที่นี้) ดังนั้นเมื่อมีการกด reset ที่ microcontroller เราต้องการให้ SCD40 ทำการ reload ค่า setting ต่าง ๆ ขึ้นมาใหม่ด้วย ซึ่งแน่นอนว่าเค้าเตรียมให้เราอยู่แล้ว นั่นคือคำสั่ง reinit ซึ่งคำสั่งนี้ก็ต้องสั่งหลังจากคำสั่ง stopPeriodicMeasurement เช่นกัน ดังนั้นเราจะได้ code ออกมาอย่างนี้

  scd40.begin(Wire);
  scd40.stopPeriodicMeasurement();
  scd40.reinit();
  // scd40.startPeriodicMeasurement();          // Performance mode (every 5s)
  float tempOffsetPre = 0.0;
  scd40.getTemperatureOffset(tempOffsetPre);
  float tempOffset = -3.5 + tempOffsetPre;
  scd40.setTemperatureOffset(tempOffset);
  scd40.startLowPowerPeriodicMeasurement();     // Low Power mode (every 30s)

เพียงเท่านี้เราก็จะได้ โหมดประหยัดพลังงานที่อ่านค่า อุณหภูมิ และความชื้นสัมพัทธ์ ได้อย่างถูกต้องมากขึ้นแล้ว ที่จริง การใส่ offset นี้ ไม่จำเป็นต้องรอเปลี่ยนมาเป็น Low power mode ก็ได้ ใน mode ปกติ ถ้าเราเห็นว่าค่าอุณหภูมิที่อ่านได้ไม่ถูกต้อง เราก็สามารถมาปรับ offset ได้เหมือนกัน

สลับโหมด

เอาหละ เหมือนจะจบแล้ว แต่ไหน ๆ เราก็เปลี่ยนโหมดได้ และมีโอกาสที่เราจะต้องการเปลี่ยนโหมดไปมาชั่วคราว เพื่อไม่ต้องเสียเวลามา upload program ใหม่ เราจะใช้สายไฟเพิ่มอีกสายหนึ่ง เพื่อให้เราสามารถกำหนดได้ว่า เราอยากใช้โหมดไหน โดยใช้ขาที่ยังว่าง ซึ่งก็มีอยู่มากมาย ในที่นี้จะใช้ขา D2 โดยถ้า D2 เป็น Low (ขา D2 ต่อลง GND)ให้ใช้ Low power mode ถ้าเป็น High (ขา D2 ต่อ 3.3 V) ให้ใช้ โหมดปกติ เราจะได้ code ดังนี้

  scd40.begin(Wire);
  scd40.stopPeriodicMeasurement();
  scd40.reinit();
  pinMode(2, INPUT);
  if (digitalRead(2)) {
    scd40.startPeriodicMeasurement();  // Performance mode (every 5s)
  } else {
    float tempOffsetPre = 0.0;
    scd40.getTemperatureOffset(tempOffsetPre);
    float tempOffset = -3.5 + tempOffsetPre;
    scd40.setTemperatureOffset(tempOffset);
    scd40.startLowPowerPeriodicMeasurement();  // Low Power mode (every 30s)
  }

เพียงเท่านี้ เราก็สามารถเลือกใช้ได้ทั้งสองโหมดเพียงแค่เปลี่ยนการเชื่อมต่อของขา D2 ด้วยสายไฟเพียงเส้นเดียว และอย่าลืมว่า เมื่อเปลี่ยนการเชื่อมต่อแล้วต้องกด reset ที่ microcontroller ด้วยนะครับ

Code ทั้งหมด

#include <SensirionI2CScd4x.h>
#include <U8g2lib.h>

#define BUZZER_PIN 7             // D7
#define CO2_THRESHOLD_BASE 1500  // ppm
#define ALARM_INTV 5000          // ms
#define ON 1
#define OFF 0

unsigned int alarmThreshold = CO2_THRESHOLD_BASE;
bool alarmStatus = OFF;
unsigned long alarmStart = 0;

SensirionI2CScd4x scd40;
uint16_t co2 = 0;
float temperature = 0.0;
float humidity = 0.0;

U8G2_SSD1306_128X64_NONAME_F_HW_I2C oled(U8G2_R0, /* reset=*/U8X8_PIN_NONE);

void setup() {

  Serial.begin(115200);
  // while (!Serial) {      // Waiting for connection wiht computer completed
  //     delay(100);
  // }

  oled.begin();
  oled.clearDisplay();
  oled.setContrast(1);

  pinMode(BUZZER_PIN, OUTPUT);
  digitalWrite(BUZZER_PIN, OFF);
  pinMode(LED_BUILTIN, OUTPUT);
  digitalWrite(LED_BUILTIN, OFF);

  scd40.begin(Wire);
  scd40.stopPeriodicMeasurement();
  scd40.reinit();
  pinMode(2, INPUT);
  if (digitalRead(2)) {
    scd40.startPeriodicMeasurement();  // Performance mode (every 5s)
  } else {
    float tempOffsetPre = 0.0;
    scd40.getTemperatureOffset(tempOffsetPre);
    float tempOffset = -3.5 + tempOffsetPre;
    scd40.setTemperatureOffset(tempOffset);
    scd40.startLowPowerPeriodicMeasurement();  // Low Power mode (every 30s)
  }
  
  Serial.println("Waiting for measurement...");

  oled.clearBuffer();
  oled.setFont(u8g2_font_siji_t_6x10);
  oled.drawStr(0, 30, "Waiting for");
  oled.drawStr(0, 40, "measurement....");
  oled.sendBuffer();
}

void loop() {

  bool dataReady = false;
  scd40.getDataReadyFlag(dataReady);
  if (dataReady) {

    scd40.readMeasurement(co2, temperature, humidity);

    Serial.print("CO2:");
    Serial.print(co2);
    Serial.print("  ");
    Serial.print("Temperature:");
    Serial.print(temperature);
    Serial.print("  ");
    Serial.print("Humidity:");
    Serial.println(humidity);

    oled.clearBuffer();

    oled.setFont(u8g2_font_8x13_tf);
    oled.drawStr(0, 10, "CO");
    oled.setFont(u8g2_font_siji_t_6x10);
    oled.drawStr(16, 14, "2");
    oled.setFont(u8g2_font_siji_t_6x10);
    oled.drawStr(0, 22, "(ppm)");

    String co2_string = String(co2);
    oled.setFont(u8g2_font_courB24_tf);
    int x_pos = (oled.getDisplayWidth() - oled.getStrWidth(co2_string.c_str()));
    oled.setCursor(x_pos, 22);
    oled.print(co2_string);

    oled.setFontMode(1);
    oled.setDrawColor(2);
    oled.drawBox(0, 31, 60, 11);
    oled.drawBox(70, 31, 60, 11);
    oled.setFont(u8g2_font_6x12_t_symbols);
    oled.drawGlyph(20, 41, 176);
    oled.drawGlyph(26, 40, 67);
    oled.drawStr(90, 40, "%");
    oled.drawStr(100, 40, "RH");

    oled.setFont(u8g2_font_courB18_tf);
    oled.setCursor(0, 62);
    oled.print(temperature, 1);
    oled.setCursor(70, 62);
    oled.print(humidity, 1);

    oled.sendBuffer();
  }  // if (dataReady)

  // Alarm Control
  alarmControl();

}  // Loop

void alarmControl(void) {
  if (co2 >= alarmThreshold) {
    if ((alarmStatus == OFF)) {
      setAlarm(ON);
      alarmStart = millis();

    } else if ((millis() - alarmStart) > ALARM_INTV) {
      setAlarm(OFF);
      alarmStart = 0;
      alarmThreshold = co2 + 500;
    }
  } else {
    setAlarm(OFF);
    alarmStart = 0;

    if (co2 < CO2_THRESHOLD_BASE) {
      alarmThreshold = CO2_THRESHOLD_BASE;
    }
  }
}

void setAlarm(bool state) {
  digitalWrite(BUZZER_PIN, state);
  digitalWrite(LED_BUILTIN, state);
  alarmStatus = state;
}

สรุป

บทความนี้เราได้เรียนรู้การใช้ SCD40 ในโหมดประหยัดพลังงาน และได้เรียนรู้วิธีการใส่ offset ให้กับการวัดอุณหภูมิ ทำให้ SCD40 รายงานค่าอุณหภูมิและความชื้นสัมพัทธ์ได้ถูกต้องมากยิ่งขึ้น ซึ่งการที่เราใส่ offset ได้ถือว่าดีมาก ๆ ซึ่งต่างจาก sensor หลาย ๆ ตัวที่ไม่สามารถทำได้

ถาม: เราสามารถชดเชย (offset) ค่าอุณหภูมิเองใน code ได้หรือไม่ โดยไม่ต้องใช้ offset ใน sensor

ตอบ: สำหรับอุณหภูมิเราอาจจะ ชดเชยเองใน code ได้ แต่เราก็จะได้ค่าของความชื้นสัมพัทธ์ไม่ถูกต้องอยู่ดี เพราะค่าความชื้นสัมพัทธ์ที่ sensor รายงานก็จะขึ้นอยู่กับอุณหภูมิที่ sensor อ่านได้ และการชดเชยเองก็ทำได้ยากกว่า

ขอจบความสนุกของบทความนี้ไว้เพียงเท่านี้ ส่วนใครที่ยังไม่อยากหยุดสนุก ผมก็ขอฝากโจทย์ว่า จาก code ที่ให้ไปเป็นการใส่ offset ในส่วนของโหมด low power เท่านั้น ถ้าต้องการใส่ offset ที่โหมดปกติด้วย จะต้องปรับ code อย่างไร

ที่มา

  1. SCD4X datasheet
  2. SCD4X Low power operation
Posted on Leave a comment

วัดปริมาณ carbon dioxide ด้วย SCD-40

ในบทความนี้เป็นการสาธิตการใช้ SCD-40 ในการวัดปริมาณ Carbon dioxide (CO2) ซึ่ง SCD-40 มีความยืดหยุ่นน่าใช้มาก ๆ เช่น มีทั้งโหมดปกติ และ โหมดประหยัดพลังงานให้เลือกใช้ให้เหมาะสมกับความต้องการ สามารถ calibrate ได้ทั้งแบบ auto และ manual และยังสามารถปรับ offset ให้กับค่าอุณหภูมิที่วัดได้เพื่อให้ SCD-40 คำนวนค่าความชื้นได้ถูกต้องมากยิ่งขึ้น โดยในครั้งนี้เราจะทำแบบง่าย ๆ ก่อน โดยให้วัดค่า carbon dioxide ในโหมดปกติ แล้วแสดงผลที่ computer ผ่าน USB พร้อมทั้งแสดงผลที่หน้าจอ OLED และสามารถร้องเตือน (Alarm) เมื่อค่า carbon dioxide ที่อ่านได้เกินค่าที่กำหนด ในที่นี้จะกำหนดค่าเริ่มต้นที่ 1500 ppm

สิ่งที่ต้องเตรียมมีดังนี้

อุปกรณ์

  1. Arduino Nano RP2040 Connect
  2. Carbon dioxide Sensor (SCD-40)
  3. 128×64 SSD1036 OLED 
  4. Buzzer
  5. Breadboard and Jumping Wire

Library

  1. SCD-40 library (Sensirion)
  2. SSD1036 OLED library (U8g2)

ติดตั้ง Hardware

เนื่องจากเราจะสื่อสารระหว่าง Arduino Nano RP2040 Connect กับ SCD-40 และ OLED ผ่าน I2C และ ควบคุม Buzzer ผ่าน Digital I/O โดยเลือกขาที่สะดวก ในที่นี้คือ ขา D7 ดังนั้นเราจะต่อ hardware ดังนี้

Arduino Nano ConnectSCD-40OLEDBuzzer
VINVCCVCC 
GNDGNDGND 
A5 (SLK)SLKSLK 
A4 (SDA)SDASDA 
D7  ขาบวก (ขาที่ยาวกว่า)
Hardware connecting table

ติดตั้ง Library

            ในที่นี้เราจะใช้ library ของ Sensirion สำหรับ SCD-40 และ U8g2 สำหรับ OLED โดยวิธีการติดตั้งสามารถดูได้จากบทความเรื่อง “การติดตั้ง library

Code

#include

โดยเริ่มต้นเราต้อง include สิ่งที่เราต้องใช้ในที่นี้คือ library ต่าง ๆ เช่น SCD-40 และ OLED

#include <SensirionI2CScd4x.h>
#include <U8g2lib.h>

กำหนดชื่อให้กับ ขาที่ต่อกับ Buzzer และเงื่อนไขในการร้องเตือน (Alarm) ของ Buzzer โดยต้องการให้ Buzzer ร้องเตือนเมื่อค่า carbon dioxide ที่อ่านได้มีค่าตั้งแต่ 1500 ppm ขึ้นไป (CO2_THRESHOLD_BASE) และให้ร้องเตือนเป็นเวลา 5 วินาที (ALARM_INTV) 

#define BUZZER_PIN 7              // D7
#define CO2_THRESHOLD_BASE 1500   // ppm
#define ALARM_INTV 5000           // ms
#define ON 1
#define OFF 0

สร้างตัวแปรที่จำเป็นสำหรับการควบคุมการร้องเตือน โดยมีตัวแปรสำหรับเก็บค่า threshold ที่จะร้องเตือน (alarmThreshold)  ตัวแปรใช้เก็บเวลาที่เริ่มร้องเตือน (alarmStart) และ ตัวแปรสำหรับเก็บสถานะการร้องเตือน (alarmStatus)

unsigned int alarmThreshold = CO2_THRESHOLD_BASE;
bool alarmStatus = OFF;
unsigned long alarmStart = 0;

สร้าง object ที่เป็น sensor และกำหนดตัวแปรสำหรับรับค่าที่อ่านได้จาก SCD40

SensirionI2CScd4x scd40;
uint16_t co2 = 0;
float temperature = 0.0;
float humidity = 0.0;

สร้าง object ที่เป็นหน้าจอ OLED

U8G2_SSD1306_128X64_NONAME_F_HW_I2C oled(U8G2_R0, /* reset=*/U8X8_PIN_NONE);

Setup()

เตรียมความพร้อม(initial)ให้กับ hardware ต่าง ๆ ของเรา

เริ่มจากเชื่อมต่อกับ computer ผ่าน Serial (USB) ด้วยคำสั่ง begin และรอให้การเชื่อมต่อเสร็จเรียบร้อย (ด้วย while loop) ก่อนที่จะทำงานอื่น ๆ ต่อไป เพื่อที่ว่า ถ้าเราจะรีบส่งข้อความอะไรไปยัง computer ข้อความเหล่านั้นจะได้ไม่ตกหล่น ถ้าการเชื่อมต่อยังไม่เสร็จเรียบร้อย ข้อความที่เราส่งก็จะตกหล่นหายไป

แต่ถ้าเราไม่ได้เชื่อมต่อกับ computer ก็ต้อง comment สามบรรทัดนี้ ตามตัวอย่าง ไม่อย่างนั้น พอทำงานมาถึงจุดนี้มันจะรอเชื่อมต่อให้เสร็จทั้ง ๆ ที่เราไม่ได้เชื่อมต่อกับ computer ผลก็คือ โปรแกรมจะไม่ไปไหน จะหยุดแค่ตรงนี้เท่านั้น

  Serial.begin(115200);
  // while (!Serial) {      // Waiting for connection wiht computer completed
  //     delay(100);
  // }

เริ่มต้นการทำงานของ OLED ด้วยคำสั่ง begin แล้วสั่งให้ clear หน้าจอ และปรับความสว่างที่ต้องการ (โดยใช้คำสั่ง setContrast())

  oled.begin();
  oled.clearDisplay();
  oled.setContrast(1);

กำหนดโหมดและค่าเริ่มต้นให้กับ I/O ซึ่งก็คือขาควบคุม Buzzer และ LED_BUILTIN

  pinMode(BUZZER_PIN, OUTPUT);
  digitalWrite(BUZZER_PIN, OFF);
  pinMode(LED_BUILTIN, OUTPUT);
  digitalWrite(LED_BUILTIN, OFF);

เริ่มต้นการทำงานของ carbon dioxide sensor (SCD-40) โดยส่งคำสั่ง begin แล้วตามด้วยคำสั่ง stopPeriodicMeasurement (stop) ก่อนที่จะสั่ง startPeriodicMeasurement (start) เพื่อเริ่มการวัดค่า carbon dioxide 

สังเกตว่า เราต้องสั่ง stop ก่อนสั่ง start นั่นเพราะว่า เมื่อเราสั่ง start แล้ว sensor จะไม่รับหลาย ๆ คำสั่ง รวมทั้ง start ซ้ำด้วย ดังนั้น ถ้าเราไม่สั่ง stop ก่อนที่จะสั่ง start นั้นจะทำให้เกิดปัญหาเวลาที่เรา upload โปรแกรมเข้าไปใหม่ ในระหว่างการพัฒนา หรือ ตอนที่เรากด “reset” ที่ตัว Arduino เพราะ SCD40 จะมองว่าเป็นการสั่ง start ซ้ำ เนื่องจากเวลาที่เรา upload โปรแกรมใหม่ หรือ การกดปุ่ม reset ที่ตัว Arduino นั้น ตัว sensor ไม่ได้ reset ไปพร้อมกับ Arduino ด้วยนั่นเอง

  scd40.begin(Wire);
  scd40.stopPeriodicMeasurement();
  scd40.startPeriodicMeasurement();

จากคู่มือของ SCD40 เมื่อสั่ง startPeriodicMeasurement แล้ว sensor จะทำการอ่านค่า carbon dioxide ทุก ๆ 5 วินาที ดังนั้น เมื่อสั่ง start แล้วเราก็ต้องรออย่างน้อย 5 วินาที ถึงจะอ่านค่าได้ ดังนั้นแทนที่จะรออยู่เงียบ ๆ เราก็แจ้งให้ผู้ใช้ทราบเสียหน่อยว่า เรากำลังรอการวัดค่าอยู่นะ เพื่อป้องกันการตกใจว่า เอ๊ะ! ทำไมไม่ทำงาน โดยการ ส่งข้อความไปแสดงที่ computer และแสดงข้อความที่หน้าจอ OLED ด้วย

  Serial.println("Waiting for measurement...");

ส่วนการแสดงข้อความที่หน้าจอ OLED จะยุ่งยากกว่านิดหน่อย และการที่เราจะสั่งว่าให้แสดงอะไรออกที่หน้าจอนั้น มันจะไม่ได้ออกไปที่หน้าจอทันที มันจะเป็นการเก็บข้อมูลที่เราจะให้แสดงออกหน้าจอนั้นไว้ที่ memory ที่เรียกว่า buffer ก่อน แล้วค่อยส่งข้อมูลจาก buffer ออกหน้าจอทีเดียว ดังนั้น ขั้นตอนในการแสดงข้อมูลที่หน้าจอก็จะเริ่มด้วย การ clear buffer (clearBuffer) แล้วก็ส่งข้อมูลที่จะแสดงที่หน้าจอไปเก็บยัง buffer โดยที่เราต้องกำหนด Font เอง ซึ่งเราต้องเลือกทั้งลักษณะ และขนาด (เลือกได้จาก //github.com/olikraus/u8g2/wiki/fntlistall) และ กำหนดตำแหน่งที่จะแสดงตัวหนังสือบนหน้าจอเองด้วย รวมทั้ง ถ้าข้อความยาวเกินกว่าหน้าจอ เราก็ต้องแบ่งบรรทัดเองอีกด้วย (แต่ถึงแม้ว่าจะรู้สึกว่ามันยุ่งยากจัง แต่พอเริ่มชินแล้วเราจะชอบ เพราะมันให้อิสระเราในการทำอะไรกับหน้าจอก็ได้เลย) หลังจากสั่งว่าจะให้แสดงอะไรออกที่หน้าจอแล้ว เราก็ทำการส่งข้อความทั้งหมดที่อยู่ใน buffer (sendBuffer) ออกไปที่หน้าจอพร้อมกันก็จะได้โค้ดดังนี้

  oled.clearBuffer();
  oled.setFont(u8g2_font_siji_t_6x10);
  oled.drawStr(0, 30, "Waiting for");
  oled.drawStr(0, 40, "measurement....");
  oled.sendBuffer();

Loop()

ในส่วนของ loop เราจะให้มีการทำงานดังนี้

Data Ready?

เนื่องจากการทำงานของตัว SCD40 ในโหมดนี้จะวัดค่า CO2 และเตรียมข้อมูลให้เราอ่านทุก ๆ 5 วินาที ดังนั้นเราต้องตรวจว่ามีข้อมูลให้เราหรือยัง โดยการเรียกใช้คำสั่ง getDataReadyFlag ดังนี้

  bool dataReady = false;
  scd40.getDataReadyFlag(dataReady);
  if (dataReady) {

อ่านค่า CO2, Temperature, Humidity

ถ้ามีข้อมูลแล้ว ค่อยเรียกใช้คำสั่ง readMeasurement เพื่ออ่านข้อมูลจาก SCD40 ง่าย ๆ ทีเดียวได้ทั้งสามค่าเลย  ดังนี้

    scd40.readMeasurement(co2, temperature, humidity);

แสดงค่าที่ computer

จากนั้นก็นำค่าที่ได้เหล่านี้ส่งไปที่ computer ผ่านสาย USB ด้วยคำสั่ง Serial.print() ดังนี้

    Serial.print("CO2:");
    Serial.print(co2);
    Serial.print("  ");
    Serial.print("Temperature:");
    Serial.print(temperature);
    Serial.print("  ");
    Serial.print("Humidity:");
    Serial.println(humidity);

คำสั่ง print() ทั้งหมดนี้จะแสดงค่าต่าง ๆ ออกมาอยู่บรรทัดเดียวกัน และมีคำสั่ง println() ในบรรทัดสุดท้าย เพื่อบอกว่า เมื่อแสดงค่าแล้วให้ขึ้นบรรทัดใหม่ เพื่อเตรียมแสดงข้อมูลชุดต่อไป ซึ่งถ้าเราใช้ Tools -> Serial Monitor ก็จะเห็นข้อมูลส่งมาดังนี้

และเมื่อเราใช้ Tools -> Serial Plotter ก็จะได้กราฟแสดงข้อมูลทั้งสามออกมาสวย ๆ ดังนี้

เราสามารถแสดงข้อมูลบางตัวได้ โดยการติ๊กที่เครื่องหมายถูกด้านหน้าชื่อค่าต่าง ๆ ได้ด้วย ทำให้กราฟเราแสดงช่วงของค่าที่วัดได้ให้เหมาะสมมากยิ่งขึ้น ลองกดเล่นกันดูนะครับ

แสดงค่าที่ OLED

ต่อมาเราก็แสดงค่าที่อ่านได้บนหน้าจด OLED ด้วย โดยเราเริ่มจาก clearBuffer เพื่อที่จะล้าง memory ที่เก็บข้อมูลสำหรับแสดงที่หน้าจอ OLED แล้วเราก็ใส่คำสั่งต่าง ๆ เพื่อที่จะส่งค่าที่จะแสดงที่หน้าจอลง buffer แล้วปิดท้ายด้วยคำสั่ง sendBuffer() เพื่อส่งข้อมูลใน buffer ทั้งหมดไปแสดงที่หน้าจอ OLED ดังนี้

    oled.clearBuffer();

    oled.setFont(u8g2_font_8x13_tf);
    oled.drawStr(0, 10, "CO");
    oled.setFont(u8g2_font_siji_t_6x10);
    oled.drawStr(16, 14, "2");
    oled.setFont(u8g2_font_siji_t_6x10);
    oled.drawStr(0, 22, "(ppm)");

    String co2_string = String(co2);
    oled.setFont(u8g2_font_courB24_tf);
    int x_pos = (oled.getDisplayWidth() - oled.getStrWidth(co2_string.c_str()));
    oled.setCursor(x_pos, 22);
    oled.print(co2_string);

    oled.setFontMode(1);
    oled.setDrawColor(2);
    oled.drawBox(0, 31, 60, 11);
    oled.drawBox(70, 31, 60, 11);
    oled.setFont(u8g2_font_6x12_t_symbols);
    oled.drawGlyph(20, 41, 176);
    oled.drawGlyph(26, 40, 67);
    oled.drawStr(90, 40, "%");
    oled.drawStr(100, 40, "RH");

    oled.setFont(u8g2_font_courB18_tf);
    oled.setCursor(0, 62);
    oled.print(temperature, 1);
    oled.setCursor(70, 62);
    oled.print(humidity, 1);

    oled.sendBuffer();

ซึ่งจากโค้ดด้านบน ก็จะได้หน้าจอออกมาแบบนี้ ส่วนใครชอบแบบไหนก็ลองปรับแต่งกันดู

ควบคุม Alarm (alarmControl)

ในส่วนของ การควบคุม Alarm (buzzer ส่งเสียง และ LED สว่าง) จะแยกเป็นอีก function เพื่อไม่ให้ดูยุ่งเกินไป ในส่วนของ Alarm นี้อาจทำง่าย ๆ แค่ ถ้าค่า COที่อ่านได้เกินค่าที่กำหนด ก็ให้ Alarm ถ้าเมื่อใดค่าที่อ่านได้ต่ำกว่าค่าที่กำหนดก็หยุด Alarm 

แต่จากประสบการณ์ มันจะค่อนข้างน่ารำคาญถ้าจะให้ Alarm โดยให้ buzzer ดังตลอดจนกว่าค่า CO2 จะต่ำกว่าที่กำหนด ดังนั้นจึงให้ Alarm แค่เวลาที่กำหนด (ในที่นี้คือ 5 วินาที ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยเปลี่ยนค่า ALARM_INTV) แล้วให้ดังอีกครั้งเมื่อค่า CO2 ที่วัดได้เกินค่าปัจจุบันไปอีก 500 ppm ซึ่งก็จะ Alarm อย่างนี้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าค่า CO2 จะต่ำกว่าค่าเริ่มต้น (CO2_TRESHOLD_BASE) จึงปรับค่า threshold กลับมาเป็น ค่าเริ่มต้นอีกครั้ง โดยมี logic การทำงานดังนี้

ก็จะได้ code ออกมาดังนี้

void alarmControl() {
  if (co2 >= alarmThreshold) {
    if ((alarmStatus == OFF)) {
      digitalWrite(BUZZER_PIN, HIGH);   // Alarm
      digitalWrite(LED_BUILTIN, HIGH);  // Alarm
      alarmStatus = ON;                 // Alarm
      alarmStart = millis();

    } else if ((millis() - alarmStart) > ALARM_INTV) {
      digitalWrite(BUZZER_PIN, LOW);    // Alarm
      digitalWrite(LED_BUILTIN, LOW);   // Alarm
      alarmStatus = OFF;                // Alarm
      alarmStart = 0;
      alarmThreshold = co2 + 500;
    }
  } else {
    digitalWrite(BUZZER_PIN, LOW);      // Alarm
    digitalWrite(LED_BUILTIN, LOW);     // Alarm
    alarmStatus = OFF;                  // Alarm
    alarmStart = 0;

    if (co2 < CO2_THRESHOLD_BASE) {
      alarmThreshold = CO2_THRESHOLD_BASE;
    }
  }
}

ข้อสังเกต

จาก code ด้านบนจะเห็นว่า ในส่วนที่เป็น Alarm นั้นมีหลายบรรทัด และถูกเขียนซ้ำกันบ่อย และต่อไปถ้าจะแก้ไขในส่วนของ Alarm ไม่ว่าจะเพิ่มหรือลดการทำงานของ Alarm ก็จะต้องแก้ทั้งสามที่เหมือน ๆ กัน ทำให้มีโอกาสแก้ไม่ครบ ดังนั้นจึงแยก code ส่วนนี้ออกมาเป็นอีก function ดังนี้

void setAlarm(bool state) {
  digitalWrite(BUZZER_PIN, state);
  digitalWrite(LED_BUILTIN, state);
  alarmStatus = state;
}

และ code ในส่วน alarmControl() ก็จะเป็นอย่างนี้

void alarmControl(void) {
  if (co2 >= alarmThreshold) {
    if ((alarmStatus == OFF)) {
      setAlarm(ON);
      alarmStart = millis();

    } else if ((millis() - alarmStart) > ALARM_INTV) {
      setAlarm(OFF);
      alarmStart = 0;
      alarmThreshold = co2 + 500;
    }
  } else {
    setAlarm(OFF);
    alarmStart = 0;

    if (co2 < CO2_THRESHOLD_BASE) {
      alarmThreshold = CO2_THRESHOLD_BASE;
    }
  }
}

เพียงเท่านี้ เราก็จะได้เครื่องวัด carbon dioxide ไว้เล่นสนุกแล้ว

เพื่อความสะดวกในการใช้งาน และความสวยงาม ก็สามารถนำไปใส่กล่อง หรือขวดให้เหมาะสมได้

เพื่อความสะดวก ด้านล่างนี้คือ code ทั้งหมดครับ

#include <SensirionI2CScd4x.h>
#include <U8g2lib.h>

#define BUZZER_PIN 7              // D7
#define CO2_THRESHOLD_BASE 1500   // ppm
#define ALARM_INTV 5000           // ms
#define ON 1
#define OFF 0

unsigned int alarmThreshold = CO2_THRESHOLD_BASE;
bool alarmStatus = OFF;
unsigned long alarmStart = 0;

SensirionI2CScd4x scd40;
uint16_t co2 = 0;
float temperature = 0.0;
float humidity = 0.0;

U8G2_SSD1306_128X64_NONAME_F_HW_I2C oled(U8G2_R0, /* reset=*/U8X8_PIN_NONE);

void setup() {
  
  Serial.begin(115200);
  while (!Serial) {      // Waiting for connection wiht computer completed
      delay(100);
  }

  oled.begin();
  oled.clearDisplay();
  oled.setContrast(1);

  pinMode(BUZZER_PIN, OUTPUT);
  digitalWrite(BUZZER_PIN, OFF);
  pinMode(LED_BUILTIN, OUTPUT);
  digitalWrite(LED_BUILTIN, OFF);

  scd40.begin(Wire);
  scd40.stopPeriodicMeasurement();
  scd40.startPeriodicMeasurement();

  Serial.println("Waiting for measurement...");

  // oled.clearBuffer();
  oled.setFont(u8g2_font_siji_t_6x10);
  oled.drawStr(0, 30, "Waiting for");
  oled.drawStr(0, 40, "measurement....");
  oled.sendBuffer();
}

void loop() {

  bool dataReady = false;
  scd40.getDataReadyFlag(dataReady);
  if (dataReady) {

    scd40.readMeasurement(co2, temperature, humidity);

    Serial.print("CO2:");
    Serial.print(co2);
    Serial.print("  ");
    Serial.print("Temperature:");
    Serial.print(temperature);
    Serial.print("  ");
    Serial.print("Humidity:");
    Serial.println(humidity);

    oled.clearBuffer();

    oled.setFont(u8g2_font_8x13_tf);
    oled.drawStr(0, 10, "CO");
    oled.setFont(u8g2_font_siji_t_6x10);
    oled.drawStr(16, 14, "2");
    oled.setFont(u8g2_font_siji_t_6x10);
    oled.drawStr(0, 22, "(ppm)");

    String co2_string = String(co2);
    oled.setFont(u8g2_font_courB24_tf);
    int x_pos = (oled.getDisplayWidth() - oled.getStrWidth(co2_string.c_str()));
    oled.setCursor(x_pos, 22);
    oled.print(co2_string);

    oled.setFontMode(1);
    oled.setDrawColor(2);
    oled.drawBox(0, 31, 60, 11);
    oled.drawBox(70, 31, 60, 11);
    oled.setFont(u8g2_font_6x12_t_symbols);
    oled.drawGlyph(20, 41, 176);
    oled.drawGlyph(26, 40, 67);
    oled.drawStr(90, 40, "%");
    oled.drawStr(100, 40, "RH");

    oled.setFont(u8g2_font_courB18_tf);
    oled.setCursor(0, 62);
    oled.print(temperature, 1);
    oled.setCursor(70, 62);
    oled.print(humidity, 1);

    oled.sendBuffer();
  }  // if (dataReady)

  // Alarm Control
  alarmControl();

}  // Loop

void alarmControl(void) {
  if (co2 >= alarmThreshold) {
    if ((alarmStatus == OFF)) {
      setAlarm(ON);
      alarmStart = millis();

    } else if ((millis() - alarmStart) > ALARM_INTV) {
      setAlarm(OFF);
      alarmStart = 0;
      alarmThreshold = co2 + 500;
    }
  } else {
    setAlarm(OFF);
    alarmStart = 0;

    if (co2 < CO2_THRESHOLD_BASE) {
      alarmThreshold = CO2_THRESHOLD_BASE;
    }
  }
}

void setAlarm(bool state) {
  digitalWrite(BUZZER_PIN, state);
  digitalWrite(LED_BUILTIN, state);
  alarmStatus = state;
}

คำเตือน

ขอย้ำอีกครั้งว่า ค่าที่อ่านได้อาจคลาดเคลื่อนด้วยหลายปัจจัย อย่านำไปใช้ในสถานการณ์ที่ความคลาดเคลื่อนนี้อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินรวมถึงสิ่งแวดล้อมนะครับ

ในตอนต่อ ๆ ไป เราจะมาปรับปรุงระบบนี้ให้น่าสนใจมากยิ่งขึ้นไปอีก เพราะยังมีอะไรให้ทำกับระบบนี้อีกมาก เช่น สามารถ calibrate ค่า CO2 ได้ สามารถกำหนด offset ให้กับค่าอุณหภูมิที่อ่านได้ ทำให้ได้ค่าอุณหภูมิ และความชื้นที่ถูกต้องมากยิ่งขึ้น รวมทั้ง เราจะใช้ความสามารถความเป็น dual core ของ RP2040 มาใช้ประโยชน์ และการอ่านค่าจากระยะไกล โดยใช้ Bluetooth หรือแม้แต่ส่งขึ้น cloud เพื่อ monitor ได้จากมืออีกด้วย น่าสนใจมาก ๆ ใช่ไหมล่ะครับ คอยติดตามกันนะครับ

เอกสารอ้างอิง

  1. SCD-40 data sheet (//sensirion.com/media/documents/E0F04247/631EF271/CD_DS_SCD40_SCD41_Datasheet_D1.pdf)
Posted on Leave a comment

Transmissive & Photoacoustic NDIR sensing technology คืออะไร

เป็น technology ในการวัดปริมาณก๊าซ โดยใช้สมบัติการดูดกลืนคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของโมเลกุลของก๊าซช่วง infra-red (IR)

หลักการทำงาน

ก่อนจะอธิบายการทำงานของ sensor ต้องขออธิบายธรรมชาติของก๊าซที่สำคัญอย่างหนึ่งก่อน นั่นคือ โมเลกุลของก๊าซ สามารถดูดกลืนคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในบางความยาวคลื่นได้ โดยที่โมเลกุลของก๊าซแต่ละชนิดสามารถดูดกลืนคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้ดีที่ความยาวคลื่นต่างกัน เช่น carbon dioxide นั้น สามารถดูดกลืนแม่เหล็กไฟฟ้าที่ความยาวคลื่นประมาณ 4.2 ไมโครเมตร ได้ดี

ซึ่งคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ความยาว 4.2 ไมโครเมตรนี้อยู่ในช่วงที่เรียกว่า Infra-red (IR) จากสมบัติที่สำคัญนี้ทำให้เราสามารถตรวจวัดปริมาณของก๊าซ carbon dioxide ได้ โดยดูจากประมาณการดูดกลืนคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ความยาวคลื่น 4.2 ไมโครเมตรนี้ 

Non Dispersive Infra-red (NDIR)

โดยปกติ ถ้าเราต้องการคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความยาวคลื่นเดียว หรืออยู่ในช่วงแคบ ๆ เราอาจต้องใช้อุปกรณ์ช่วยในการแยกคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่เราต้องการออกจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความยาวคลื่นอื่น ๆ เนื่องจากแหล่งกำเนิดมักมีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหลายความยาวคลื่นปนกันมา ยกตัวอย่างคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่รู้จักกันดีคือ คลื่นแสง ซึ่งประกอบด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความยาวคลื่นตั้งแต่ 400 นาโนเมตร ไปจนถึง 750 นาโนเมตร ดังนั้น  การจะได้ความยาวคลื่นเดียว ก็ต้องใช้ อุปกรณ์ที่เป็นตัวกระจาย (dispersive element) คลื่นแสง เช่น ปริซึม (prism) หรือ เกรตติ้ง(diffraction grating) หรืออีกวิธีหนึ่งคือการใช้ filter คืออุปกรณ์ที่ยอมให้คลื่นแสงที่เราต้องการผ่านไปได้เท่านั้น วิธีนี้ไม่ใช้ dispersive element จึงเรียกว่า Non Dispersive ในทำนองเดียวกัน ถ้าเราใช้ filter เพื่อให้ได้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ความยาวช่วง IR เราก็จะเรียกว่า Non Dispersive Infra-red (NDIR)

Transmissive NDIR

จากการที่โมเลกุลของก๊าซสามารถดูดกลืนคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ความยาวคลื่น 4.2 ไมโครเมตร ได้นี้ เราก็สามารถวัดปริมาณ carbon dioxide ได้ โดยตรวจวัดปริมาณคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ไม่ถูกดูดกลืน วิธีที่เรียกว่า Transmissive NDIR โดยมีแหล่งกำเนิดของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในช่วง IR แล้วผ่าน filter เพื่อให้ได้คลื่น 4.2 ไมโครเมตร แล้วผ่าน ห้องวัด(measurement chamber) ที่มีก๊าซ carbon dioxide แล้วให้คลื่น IR ที่เหลือจากการดูดกลืนตกกระทบบน sensor สำหรับตรวจ IR เพื่อวัดปริมาณ IR ที่เหลือจากการดูดกลืนของโมเลกุลของ carbon dioxide

ถ้าปริมาณคลื่น IR ผ่านกระทบกับ IR sensor ได้มาก แสดงว่ามี carbon dioxide อยู่น้อย ถ้ามีปริมาณ IR ผ่านมาได้น้อย แสดงว่ามีปริมาณ carbon dioxide อยู่มากนั่นเอง วิธีนี้ตัว IR sensor นั้นต้องอยู่ตรงข้ามกับแหล่งกำเนิด IR และมี carbon dioxide อยู่ระหว่างนั้น ทำให้ตัวเครื่องมือวัดต้องมีความยาวพอสมควร

Photoacoustic NDIR

อีกวิธีหนึ่งที่ใช้วัดปริมาณก๊าซได้ โดยทำงานด้วยหลักการที่ว่า เมื่อโมเลกุลของก๊าซ carbon dioxide ดูดกลืนคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเข้าไปแล้ว จะเกิดการสั่นของโมเลกุล เมื่อมีการสั่นก็จะทำให้เกิดเสียง ดังนั้นจึงใช้ไมโครโฟน(ขนาดเล็กมาก) ตรวจจับปริมาณเสียงนี้ได้ จึงเรียกว่า Photoacoustic NDIR

ถ้ามีโมเลกุลของ carbon dioxide มาก ก็จะสามารถตรวจจับเสียงนี้ได้มาก และเนื่องจากเสียงกระจายทุกทิศทาง ดังนั้นจะวาง microphone ไว้ตรงไหนใน measurement chamber ก็ได้ ทำให้ตัวตรวจวัดแบบนี้มีขนาดเล็กกว่าแบบ Transmissive NDIR เช่น carbon dioxide sensor (SCD4x) ของ Sensirion ที่มีขนาดเล็กกะทัดรัด

ที่มา